ฉันรักท้องฟ้า เวลาค่ำคืน

ดึกแล้ว ยังสงสัยอยู่ว่าตื่นมาทำไมในตอนดึกดื่น และค่อนคืนทำไมยังนอนไม่หลับ
ทั้งๆที่เมื่อกี๊นี้ ก็ขับรถกลับมาแบบง่วงแทบเป็นแทบตาย
 
ความที่มันเป็นดึกคืนวันอาทิตย์ หลายคนคงรีบนอนเพราะออมแรงไว้สู้กับวันจันทร์
อยากจะออมแรงไว้เหมือนกัน
แต่มันดันตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวหน่วงๆ
คงเป็น side effect ของการรับงานนอกและง่วนอยู่กับมันค่อนเช้า 3-4 คืนติดๆกัน
 
พอตื่นแล้วก็ต้องหาวิธีให้ตัวเองนอน
หาใครสักคนมานอนด้วยตอนนี้ คงไม่มีแน่ๆ
ดีดกีตาร์รึ มีหวังแม่ออกมาแร๊พด้วยแน่ๆ
ลงไปเล่นกับหมา ไม่เอาน่ะ พระเอกไป
โทรไปหาใครสักคนไหม….ใครล่ะ นี่คืนวันอาทิตย์นะ
เปิด DVD ดีกว่า แต่ว่าจะดูหนังดี หรือว่า จะดูคอนเสิร์ตไม่เอาดูฟุตบอลดีกว่า
อาการงึกๆงักรื้อ DVD ออกมาจนไม่รู้ว่าจะรื้อมาทำไม
เหมือนอาการจับฉลากหาเพื่อนผู้โชคดีที่จะอยู่เป็นเพื่อนเราในคืนนี้
สุดท้าย ก็หาไม่ได้สักเรื่อง ไม่รู้ว่าไม่ถูกใจ หรือไม่มีอารมณ์จะดูๆไปก็ไม่รู้.
 
สุดท้ายเปิดคอมหาโน่นดูนี่
มีคนออนไลน์อยู่สักสามคนเห็นจะได้ ไม่แน่ใจว่าสามคนที่เห็นจะอยู่หน้าคอมกันจริงๆหรือไม่
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ดึกๆเน็ทวิ่งเร็ว การดู MV วงร๊อคเก่าๆจาก youtube ทำให้ความน่าเบื่อลดลงไปได้บ้าง
พลอยทำให้อดีตวิ่งผ่านเข้ามาในยามดึกดื่นพอสมควร
ฟังเพลงนั้นนึกถึงคนนี้ ฟังเพลงนี้ในตอนมีคนนั้น
พอนึกถึงคนนั้นในตอนนี้ก็เลยคิดว่าในวันนี้ตอนนี้จะสบายดีไหม
เลยกลับไปค้นหาวันเก่าๆดู อยู่ๆก็พบว่า
ตัวเองเป็นคนที่รักกลางคืนพอดู
มีอะไรหลายอย่างที่ทำในดึกดื่นก็หลายครั้งอยู่
ดูแล้วก็คล้ายจะเป็นคนโรแมนติคกับเขาบ้าง
 
บางครั้งอดีตก็สวยงามและมีความหวามไหวเกินกว่าจะลืม
จำได้ว่าเคยทำภาพประกอบเพลงข้างล่างนี้ ตอนที่เพลงนี้ออกมาใหม่ๆ
ชอบที่เนื้อหา ชอบที่ความเหงาที่ไม่เรียกว่าหงอย
ออกจะชวนฝันแล้วก็โรแมนติคน้อยๆ
ชอบถึงขนาดเขียนคำประกอบไว้
จำอดีตตรงนี้ไม่ค่อยได้นักว่าสมัยตอนทำอินกับรื่องไหนไว้
แต่วันนี้ตอนนี้ อินกับเพลงนี้
 
 
 
ก็คนมันรักท้องฟ้านี่นะ ไม่ว่าจะฟ้าตอนไหนสีอะไร
ไม่สำคัญเสมอไป
 
เผื่อใครคนนั้นจะผ่านมาฟังเพลงนี้
 
สิ่งสำคัญมันน่าจะอยู่ที่ว่า ยืนดูท้องฟ้าเวลาค่ำคืนกับใคร
แล้วยืนแล้วจะทำอะไร…
 
กินยาไมเกรนแล้วไปนอนดีกว่า ท่าจะแย่
 

อากาศดีๆ

 
ปีนี้คนพูดถึงเรื่องอากาศหนาวกันมาก
เนื่องจากปีนี้หนาวเร็ว หนาวจริง โนสลิงค์ โนสตันท์มากๆ
การตื่นมาจิบกาแฟร้อนๆ พร้อมอากาศเย็นๆ สมมุติตัวเองอยู่บนยอดดอยสักแห่งพอไหว
แถวบ้านอากาศยังดีอยู่ คงเพราะเป็นชานเมืองด้วยกระมัง
ในสมัยก่อนหลายปีมาแล้ว เช้าๆ จะมีหมอกบางๆลอยตัวเอื่อยๆเลื้อยไปมาอยู่บนยอดหญ้าและมองบนถนนไปได้ไม่ไกลนัก
 
จำได้ว่าไม่เห็นมานานแล้ว หรือ จริงๆแล้วไม่ได้สังเกตุมันต่างหาก แต่น่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า
ความทรงจำกับหน้าหนาวไม่ค่อยมีมากนัก เพราะไม่ค่อยชอบอากาศหนาวเท่าไหร่
มีจำได้ก็ที่ปายแล้วก็ วันปีใหม่ที่คีรีมายาในเขาใหญ่ ไปทำงานน่ะ ไม่ได้ไปพักหรอก บารมีไม่ถึง
จำได้ว่าที่เขาใหญ่นี่ มีไอออกมาเวลาพูด ใส่เสื้อหนาวสองตัว
คลาสสิคมากมาย
 
คลาสสิคกว่านั้นคือเหมือนหลงไปอยู่ในเมืองคาวบอย มีงานคาวบอยเต็มไปหมดบนเขาใหญ่
ตอนออกมาเดินเล่น ยังนึกว่าอยู่รัฐเท็กซัส คาวบอยอะไรจะไร้ดั้งได้ขนาดนั้น
ถ้ามีด่านวัดดั้งบนถนนมิตรภาพ คาวบอยคงกลับบ้านไม่ได้หลายคนเลยเชียว
 
ในวันและเวลาอันเอื่อยเฉื่อยอย่างนี้
ฟ้าหลัวๆในหน้าหนาวดูโรแมนติคไม่น้อย
แต่ด้วยวัยและสายตาที่เริ่มพร่า ความโรแมนติคนั้นผันผวนกับความชราไปเรียบร้อย
 
อากาศแบบนี้ หลายคนคงเลือกเพลงหน้าหนาวมาเคล้าบรรยากาศ
เมื่อคืนได้ยินเพลงลมหนาวและดาวเดือน
ลมหนาวของ ทีฟอทรี ก็ผ่านมาเมื่อกี๊
 
แต่ผมเปิดเพลงอากาศดีๆ ของเนอร์สเซอรี่ซาวด์ ที่ร้องโดยผู้หญิงมาสองวันแล้ว
ฟังแล้วดูเมฆลอยปลิวๆ ลมเย็นๆ และเห็นความสุขดี
 
 
 
 
 
ฟังแล้วก็อยากจะออกไปล่องลอยคอยความคิดถึงเล่นๆ
อยากยืนข้างกายได้กุมมือโอบหัวไหล่…
มันทำมากกว่านั้นได้ไหม อากาศดีๆยังงี้น่ะ
 
ไปล่ะ….
 
ปล.เห็นข่าวคนไปเที่ยวปายรถติดก็เศร้าใจ โปรโมทกันเข้าไป
หวังว่าอีกสักสิบปีข้างหน้า ปายคงไม่เป็น Lost Highway ที่มีแต่คนนึกถึง แต่ไม่มีใครสักคนคิดถึง
 
 
 
 

กรุงเทพราตรี

 
 
ตีหนึ่งกว่า บนถนนสุรวงษ์ที่เชื่อมต่อกับพัฒพงษ์
พัฒพงษ์น่าจะเป็นชื่อถนนที่ดังสายหนึ่งของโลกและของโรค
มันยังไม่หลับไหลดีนักในคืนที่มีลมหนาวกรรโชกบ้างให้ผีเสื้อราตรีหาใครสักคนในคืนนี้
เสียงคนงานเก็บขยะร้องเพลงดัง งานสกปรกแบบนี้ เขาก็มีความสุขดี
ในขณะที่เขายกถังขยะที่มีขยะมากมายจนล้นใส่ลงไปในรถคันใหญ่ที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเข้าใกล้
ร้านขายก๋วยเตี๋ยวตรงข้ามโรงแรมดังเริ่มเก็บของ
 
ร้านส้มตำรถเข็นที่หัวค่ำ ไม่มีใครสักคนมองมัน
พอตีสองกว่าๆ คนกลับคราคร่ำวนเวียนและรอคอยกันอยู่แถวนั้น
ฟุตบาทที่ดูสกปรกและแค่เดินผ่านยังไม่อยากจะมองพื้นมากนัก
กลายที่ที่นั่งชั้นดีในเวลานี้
 
เวลาที่หลายคนหลับ
สาวบาร์บางคนมายืนช่วยขายบ้าง ขี้เมาหัวสีทองร้องเพลง บอง โจวี่ลั่นถนน ยืนคนละฝากยังได้ยินเพลง it’s my life
คือมึงหนีเมียมาเที่ยวเมืองไทยใช่ไหม
ดีนะที่รถขยะ เขยิบไปไกล ไม่งั้นมีหวังได้มีการดวลไมค์กันแน่ๆ
 
โรงแรมใหญ่กลางกรุงที่น้อยคนจะมีโอกาสมาพัก ด้วยราคาที่แพงระยับ
และการดูถูกคนไทยว่าไม่มีเงิน
 
กะหรี่ชั้นดี หรืออย่างน้อยก็ดูดีกว่าสาวบาร์ เดินสวนกันเข้าออกพร้อมกับการโค้งคำนับของ door man
พวกเธอการศึกษาอาจจะไม่ดี ไม่มีงาน แต่เธอมีเนื้อหนังเป็นทางผ่านไปนอนห้องสูทของโรงแรมได้สบายๆ
โรงแรมไหนก็ได้ ที่คนพักพร้อมจะจ่าย
อย่างน้อยเธอคงคิดว่า ไงล่ะ เคยขึ้นไปพักไหมไอ้ห้องที่ว่าแพงนักหนาน่ะ
 
บางคนสวยสง่า บางคนก็น่ารู้จัก
แต่หลังจากผ่นไปค่อนคืนและเธอลงมาเรียกแท๊กซี่กลับเองโดยลำพังตอนตีสี่
 
บ่งบอกว่าคู่ขาเธอคงลงมาส่งไม่ไหวและบางที อาจจะขาดใจตายไปแล้วเมื่อเจอลีลาของสาวไทย
 
ผมสวนเธอสักคนที่ล๊อบบี้ พลางคิดว่าเธอหน้าตาดีเกินกว่าที่จะเป็นและใช่ แต่บทสนทนาที่ผมได้ยินก็ยิ่งกว่าทำให้แน่ใจ
ผมนั่งสังเกตุการณ์ชีวิตกลางคืนด้วยสายตาของคนกลางวันอยู่พักใหญ่
 
บางทีก็ไม่แน่ใจว่าผมเป็นคนกลางวันด้วยไหม
หรือเป็นคนครึ่งวันครึ่งคืนไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านทั่วไป
 
ในขณะที่หลายคนตื่นมาทำงาน
หลายคนคงพึ่งกลับบ้าน
 
อีกไม่กี่ชั่วโมงคนเหล่านี้ก็จะกลับมาทำให้ถนนเส้นนี้มีชีวิตชีวาเหมือนเช่นคืนอื่นๆที่ผ่านมา
 
ชีวิตมันคงสั้นเกินกว่าที่เขาและเธอเหล่านั้นจะมีคำถามถึงพรุ่งนี้ เดือนหน้า หรือว่าอนาคต
ชีวิตหมดวันตอนพระอาทิตย์ขึ้น และเริ่มตื่นเมื่อเคารพธงชาติตอนเย็น
 
ผมเดินเข้าร้านสะดวกซื้อหากาแฟสักแก้วตอนตีสี่กว่าๆ
 
ผมพบว่า ร้านส้มตำรถเข็นร้านนั้น มีรถกระบะมารับขนของกลับ
คนมารับจอดเปิดท้ายอย่างสบายใจ ตำรวจคงไม่มาไล่จับใครในเวลานี้
 
ผมออกมาพร้อมแก้วกาแฟในมือ ผมพบว่าเขาตั้งวงข้างรถกระบะคันนั้น มีกระติกน้ำแข็งสองใบ
ใบแรกใส่น้ำแข็งเพื่อผสมกับโซดาและเหล้าราคาปานกลาง
 
อีกใบ มันถูกใส่น้ำแข็งไว้แช่ไวน์…
 
ผมเดินผ่านมาพร้อมแก้วกาแฟใบใหญ่
เดินไปก็อมยิ้มไป
ไม่รู้ว่าทำไม…
 
 
 

ผู้ชายชื่อตี๋ และวันดีๆที่แมทชิ่ง

 
บันทึกไว้บนแดดร้อนในวันศุกร์ที่ร้อนแดดและมีเมฆฝนว่า
วันนี้ตอนบ่ายโมงเรามีนัดกับพี่ตี๋ แมทชิ่ง
ในวงการโฆษณาต่างก็รู้กันว่า ตี๋ มแทชิ่งเป็นยังไง
ในวงการอีเวนท์ ต่างก็รู้ดีว่าตี๋ แมทชิ่ง ไม่ธรรมดายังไง
ผู้ชายที่ห้อยตัวลงมาในวันที่ แมทชิ่งเข้าตลาดหุ้น
หลายคนรวมทั้งผมคิดเอาแบบฟังผ่านข่าวว่า เขาบ้าดีและคงอยากดัง
 
จากบ่ายโมงครึ่งเลื่อนไปเรื่อยๆเพราะว่าพี่ตี๋ยังติดประชุมอยู่
ถึงแม้จะมีโอกาสทักกันเล็กๆจากการที่พี่ตี๋เดินออกมาส่งลูกค้า เป็นการทักทายที่สวรลเสเฮฮากันสั้นๆ เพราะลูกค้าพี่ตี๋ก็รู้จักกัน
ถัดจากนั้นมีโจอี้ บอย มาแทรกคุยกับพี่ตี๋ ก่อนเรา
การรอคอยยังทำหน้าที่เลื่อนลอยของมันต่อไป
การนัด CEO ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนนึงในประเทศนี้ ย่อมไม่ง่าย
 
เราทำตัวเหมือนควันบุหรี่ในยามบ่าย
คือล่องลอยกับการรอคอยลมสักเฮือกมาพัดความฟุ้งซ่านให้ผ่านออกไป
 
ผมกับเจ้านายคุยกันว่าเราอาจจะมีเวลาจากที่คาดไว้ว่าครึ่งชั่วโมงไม่เกินมาเหลือเป็นห้านาทีไม่น่ามากไปกว่านั้น
 
แล้วพี่ตี๋ก็เดินเข้ามาในห้อง
คำแรกที่เราทักคือ " พี่ พักก่อนไหม คุยนานแล้ว"
คำตอบที่แกบอกคือ เฮ้ยไม่เป็นไร คุยเลย พี่สบายๆ สบาย
แล้วน้องปุ๊กปิ๊ก เลขา สาว แสนสวย และรำรวยความน่ารัก อย่างกับตกจากฟ้ามาก็มิปราณก็เข้ามา
 
ไม่รู้จะมีอะไรจะง่ายไปกว่านี้อีกไหม กับการพูดคุยกับผู้ชายที่ชื่อ ตี๋ แมทชิ่ง
 
พี่ตี๋เล่าเรื่องงาน ความคิด ให้ฟัง
เจ้านายผมถามว่าพี่ตี๋เอาอะไรมาคิดงาน และสร้างความแตกต่างมากมายได้ขนาดนี้
พี่ตี๋ตอบว่า "ม้อนท์ ถ้าเราไม่มีใจนะ เราทำอะไรไม่ได้หรอก หัวใจมันต้องมีก่อน ก่อนที่สมองจะไปสั่งงานที่มือ
               ถ้ามึงไม่เชื่อใจตัวเองนะ มึงจบ เริ่มต้นมึงก็จบแล้วมึงไปต่อไม่ได้ แต่ถ้ามึงเชื่อใจตัวเอง แล้วใจมึงบอกว่ามึงทำได้
               ไม่มีอะไรยากไปกว่านั้นแล้ว เชื่อพี่ดิ
               คนที่ทำอะไรซ้ำๆซากๆ เขาไม่เรียกเพี้ยนนะ เขาเรียกวิกลจริต อย่างพี่เนี่ย ทำไปเหอะ ครั้งแรกพลาด สองพลาด
               สามพลาด แต่พี่เชื่อว่า ทุครั้งมันต้องดีขึ้น จะพลาดไปถึงสิบครั้ง ก็จะรู้ให้ได้ว่ามันพลาดเพราะอะไร
               แต่ไม่มีใครพลาดไปทุกครั้งหรอก พี่เชื่อว่าของดีจริงมันต้องขายได้ ถ้าขายไม่ได้ แสดงว่าของของคุณไม่จริงๆ"
 
หลังจากนั้นเราก็พูดคุยหัวเราะแล้วก็ท้าวความเรื่องต่างๆกันอยากสนุกสนาน
เจ้านายผมถามอะไรง่ายๆว่า พี่ว่าเศรษฐกิจประเทศมันจะแย่ไปกว่านี้ไหมอ่ะพี่ พวกหนูทำงานลำบาก
พี่ตี๋ตอบมาแบบจริงจังว่า
ไม่มีอะไรเหี้ยไปกว่านี้แล้วล่ะน้องเอ้ยยยยยยยย ประเทศเราตอนนี้มันเหี้ยได้ถึงที่สุดแล้ว พี่ไม่รู้จะพูดว่ายังไงไอ้คำว่าเหี้ยเนี่ย แม่งเหี้ยจริงๆ
แกคงหมายถึงเศรษฐกิจน่ะ ซึ่งผมก็คิดว่าแม่งเหี้ยจริงๆน่ะล่ะ
พี่ตี๋ลงท้ายว่าเฮ้ย พี่ต้องไปประชุมต่อว่ะ เดี๋ยวคราวหน้าพวกเอ็งมาคุยกับพี่อีกนะเว้ย เดี๋ยวให้เลขานัดไป
 
น้องปุ๊กปิ๊ก ยิ้มหวานนนนนนนนนนนนนนน พร้อมกับส่งสายตาประมาณว่า น้องเขาเริ่มจะเชื่อว่า รักครั้งแรกระหว่างเรามีจริง
น้องปุ๊กปิ๊กอ่ะ พี่เขินนะจ้องยังงี้
 
ระหว่างทางกลับออกมา เรานั่งกันเงียบๆไม่ได้พูดอะไรกัน
ผมคิดสิ่งพี่ตี๋พูดเอาไว้ หลายประโยค หลายวิธีที่แกเล่าให้ฟังมันไม่ใช่เรื่องของคนอยากดัง
แต่มันคือ copyright แบบ ตี๋ แมทชิ่ง
จาก ครึ่งชั่วโมงที่เราคิดว่าเหลือห้านาทีในตอนแรกเปลี่ยนเป็นชั่วโมงกว่าและน่าจะยาวนานกว่านั้นถ้าพี่แกไม่ติดประชุม
ผมได้ประสบการณ์ที่เอามาใช้ในงานและชีวิตมากมาย
 
ผมแอบคิดภาพว่า วันนึงข้างหน้าผมคงมีโอกาสได้ไปนั่งคุยงานกับพี่ตี๋อีก
คงได้รับฟังประสบการณ์และความคิดแบบที่ว่าคงหาจากคนอื่นไม่ได้ง่ายนัก หรือหาจากที่ไหน
 
ผมเชื่อว่าหลายคนที่ไม่ชอบพี่ตี๋นัก และหลายคนที่ผมได้ยินมองแกเป็นตัวตลก ไอ้บ้า หรือ ลงท้ายว่าเพี้ยน
 
แกมักจะพูดว่า ตัวเตี้ยปากหมาหน้าเหี้ย อย่างพี่นี่ล่ะ ทำได้ ใครทำไม่ได้ แต่ ตี๋ทำได้
 
ผมขำกับความเพี้ยนที่เข้าขั้นอัจฉริยะอย่างพี่ตี๋ไปหลายครั้ง
 
แต่จะว่าไป โลกใบนี้ ก็หมุนแรงเพราะแรงเหวี่ยงของคนเพี้ยนที่เปลี่ยนแปลงโลกมานักต่อนักแล้ว
 
 
**** ภาพประกอบอันนี้ ได้มาตอนไปฉี่ ฮาดี
 
 
คำเตือนสีแดงเขียนไว้ว่า ระหว่างปฏิบัติการฉี่อยู่นั้น หากเกิดอาการคันไข่ ควรเกาอย่างอ่อนโยนและละมุนละม่อม
เพราะการเกาอย่างรุนแรงอาจทำให้พลาดเป้าได้…

เนือย

 

ในอารมณ์เนือย และมีความวุ่นวายในสมอง หย่อนไมเกรนไปสักสองเซนต์

ผมพบว่าตัวเองเหนื่อยและหน่ายเกินกว่าจะกินเหล้า

แน่นอนว่าหลังจากจิบไปเบาๆ ไม่แน่ใจว่าเส้นสมองเต้นกระดึ๊บกระดึ๊บเพราะเหล้าหรือว่าไมเกรนกระเส่ากันแน่

หลังจากผ่านการพูดคุยกับเพื่อนๆและพี่ๆที่เรียนจบมาด้วยกัน ผ่านความทรงจำและวันชื่นคืนสุขมากมาย

ในวันที่พ่อของใครสักคนตายและงานศพเป็นเพียงป้ายแวะพักเพื่อให้เราเจอกัน

ใครบางคนนึกถึงร้านที่จะนั่งกินข้าวไว้ในใจก่อนไปงานศพเสียอีก

เราพบว่า เวลาไม่มีผลกับนิสัยใจคอและความชอบพอในน้ำจิตและน้ำใจของเหล่าสมาชิกภาพ

เวลามีผลกับรูปร่างบ้างเมื่อพี่ฉุยหนักร้อยสิบกิโล ส่วนผม อีกสิบโลร้อย

ในวันที่เหนื่อยจนไม่อยากจะเปิดไฟหน้ารถวิ่ง (ขี้เกียจได้ขนาดนั้น)

ผมพบว่าเรื่องตื่นเต้นที่ทำให้วันอันน่าเหนื่อยหายหนักไป เกิดขึ้นง่ายๆด้วยเหตุผลสองสามข้อ

ถ้าคุณเหนื่อยหรือพบว่าชีวิตน่าเบื่อ

ผมแนะนำว่าให้คุณขับรถออกจากถนนราชพฤกษ์หรือกัลปพฤกษ์หรืออะไรไม่รู้ที่เริ่มต้นแบบแถวๆสามแยกไฟฉาย

ในแบบที่น้ำมันขึ้นตัวแดงและแบตโทรศัพท์จะหมด

ระหว่างทางจากบางแค มารามอินทรา

คุณจะพบว่ามันไม่มีปั๊มน้ำมันเลยสักปั๊มจนกว่าคุณจะวิ่งภาวนามาเรื่อยๆจนถึงย่าน รัตนาธิเบต

จริงๆมีปั๊ม ปตท ปั๊มนึงช่วงข้ามถนนเพชรเกษมแต่ทะลึ่งคิดว่า เดี๋ยวก็มีข้างหน้าอีก

วิ่งไปปิดแอร์ไป สนุกสนานมากมาย

ชีวิตวันจันทร์อันน่าเบื่อหน่ายสนุกขึ้นมาในทันที

แล้วมันก็เริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆเมื่อวิ่งไป ไฟถนนก็เริ่มหายไปทีละดวงจนมีช่วงถนนมืดบ้าง

และมีแยกที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอีกสองสามแยก

นึกในใจว่าถ้าโผล่ไปเห็นป้ายบอกว่า ถึงเชียงใหม่ก็ฮากันบรรลัยเลย

ยิ่งในระหว่างที่แบตเหลือน้อย น้ำมันถดถอย

การโทรถามทางพี่ที่วิ่งมาก่อนหน้าแล้วมันไม่รับ

ยิ่งทำให้ชีวิตรัญจวนขึ้นอีกแยะ

แค่จะถามว่ากูวิ่งถูกฝั่งไหม ยังลุ้นจนเยี่ยวจะไหล

เห็นปั๊มน้ำมันอยู่ฝั่งตรงข้ามไวๆ คิดในใจว่ายูเทิร์นกลับไปดีไหม

แต่พระเจ้าจอร์จ Fuking you father die absolutely little-corcodile ทำไม ยูเทิร์นแม่งไกลฉิบหายเลยวะ

ไกลขนาดนี้วนไป น้ำมันก็หมดพอดี ไปต่อดีกว่าเว้ย

แล้วพระเจ้าก็เสกปั๊ม ปตท ลงมาให้อีกหนึ่งปั๊ม

เยี่ยวจะราด น้ำมันจะหมด เบ็ดเสร็จครบครัน

จอดรถปุ๊ป น้องเติม แก๊สโซฮอลล์ 95  500 บาทนะ

ก้มลงไปหยิบกระเป๋าตังค์ ตังค์หมด!!!!

เฮ้ย อะไรมันจะหมดพร้อมๆกันได้ขนาดนี้วะ

มองหา atm ดีนะที่ยังมี

เดินมาที่ตู่ atm เฮ้ยมันขึ้นตัวแดงวะ

ตายห่า…

 

ผมขับรถออกจากปั๊มพรางขบขันวันจันทร์ที่น่าเบื่อหน่ายอย่างได้อารมณ์

หน้าตู้เอทีเอ็ม

มันบอกว่ากระดาษพิมพ์สลิปหมด

ยังดีที่แค่กระดาษหมด ถ้าเงินหมดตู้ กูจะร้องดังๆว่า ไอ้ little-corcodile เอ้ยให้ดู

 

ใครไม่รักวันจันทร์ไม่รู้

แต่ตูรัก

เพราะแม่งมาลุ้นรักหนักหนาตอนฟ้าเริ่มมืดนี่ล่ะ

 

รักนะวันจันทร์

Fuking you father die absolutely little-corcodile เอ้ย…

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ในวันที่ฝนฉ่ำฟ้าเมื่ออาทิตย์ก่อน
ผมพาทีมงาน ก็มีเจ้านายและโปรดิวเซอร์ แล้วก็ ผู้ช่วยอีกสองคนไปดูสถานที่จัดงาน
ฝนตกมาเป็นระยะเหมือนฟ้ารั่ว
เบาบ้างแรงบ้างแล้วแต่อารมณ์ของใครสักคนในยามที่เหงา เบื่อ และ คร้านจะอธิบาย
 
สนาม 700 ปีเชียงใหม่ไม่เล็กนักสำหรับคนกรุงเทพ
เรายืนไหว้ศาลเจ้าที่ ที่แอบอยู่ตรงทางออกข้างสระว่ายน้ำ
ระหว่างไหว้ ผมขอให้ฝนไม่ตกช่วงที่เราทำงาน และบอกกล่าวง่ายๆว่า เดี๋ยวจะเอาอาหารคาวหวานมาถวาย
แล้วก็หันไปสั่งเจ้านายกับโปรดิวเซอร์ว่าอย่าลืมนะ
 
ตกบ่ายระหว่างทางไปสนามกีฬา ฝนก็ยังตกมาเป็นระยะ
ถึงที่มีร่องรอยของฝนทิ้งไว้ให้เห็นว่างานนี้มีลุ้น
 
ระหว่างงานไม่มีใครคิดถึงเรื่องฝน มีเรื่องอื่นให้ลุ้นมากกว่านั้น
จนเสร็จงาน….มองข้ามเขาไปเห็นเมฆฝนกำลังชักชวนพักพวกหยอกล้อและรอเวลาข้ามเขามาทักทายผืนใหญ่
 
ไม่ได้สนใจ เพราะกลับมาก็หลับ กลับกรุงเทพแต่เช้า
จบเรื่องที่เชียงใหม่แต่เพียงเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์
 
กรุงเทพ แดดเปรี้ยงเมื่อเหยียบดอนเมือง
ผมขับรถออกมาจากบ้านพร้อมน้องรักคนนึงไปงานแต่งานเพื่อนรุ่นพี่ที่จบมาจากที่เดียวกัน
ปล่าวเราไม่ได้เจอกันตอนเรียน
เรามาเจอและสนิทกันตอนเที่ยวต่างหาก
 
พี่เจต โทรมาเมื่อบ่ายถามว่ามึงมาทันไหมป๊อป
ปล่าวไม่ใช่เจ้าบ่าวแน่นอน
แต่แกวานให้ไปเป็นพิธีกรในงาน ซึ่งเราก็คาดหวังความสนุกสนานจากการอำกันและกันให้มันครื้นเครง
พี่เจตกลัวงานไม่สนุกมากถึงขนาดบอกว่า มึงอำกูได้ทุกมุขเลยนะ
จะให้กูกินใบไผ่ อะไรก็ยอม กูอยากให้มันฮาๆ
 
ขับรถเข้าไปในงาน ตามสัญชาติญาณของคนทำงานและเป็นโรคชอบสำรวจสิ่งต่างๆรอบตัว
ผมแหงนหน้ามองฟ้า น้องรักมองตามพร้อมกับพูดออกมาว่า ไม่ตกหรอก
สิ้นเสียงไม่ตกหรอก ฟ้าร้องครืนนนนนนนน
 
ผมอธิบายน้องว่า ในการทำงาน ถ้าฟ้ามืดมาหรือว่าสว่างโล่งไม่น่ากลัวเท่าฟ้าสีเทาเข้าโพล้เพล้แบบนี้
น้องทำหน้างงๆ แล้วก็คงสงสัยว่า ไอ้อ้วนนี่พร่ำเพ้ออะไรของมันวะ ด้วยหน้าเหมือนหมาสงสัย
 
ผมเข้าใจว่าน้องเองก็คงงงอยู่เหมือนกัน หลังจากมันมาตามติดชีวิตออร์แกไนส์ซะหลายวัน
มันบอกสั้นๆว่า"มันส์"
 
ใกล้งานฝนเริ่มลงเม็ดโปรยปรายเบาๆพอให้เย็นย่ำนี้ไม่เงียบเหงา
แต่หน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาวเริ่มเฉา
งาน Outdoor ด้วยนะ ไฮโซซะไม่มีล่ะ
 
ถึงแม้ทางเจ้าสาวจะเตรียมการป้องกันฝนตกไว้บ้าง แต่ไอ้"ไว้บ้าง"ก็ไม่น่าทัดทานอะไรได้มาก และงานจะกร่อยเอา
 
ผมยืนดูพายุที่กระหน่ำลงมา ถ้าจะพูดให้เป็นสิริมงคลก็เรียกว่า ฝนโปรยน้ำมนต์ลงมาแต่หนาเม็ดมากกว่าตอนแรก
เอาเป็นว่าถึงกางร่มคันใหญ่ยังไงก็ยังเปียกน่ะ
 
เจ้าสาวมองหน้าผมเสียงสั่นว่า ทำไงดีวะ แม่งตกเวลางานกูเลย
ฟ้าร้องครวญครางเหมือนจะเป็นพยานในการฉ่ำรักในค่ำคืนนี้
ใครไม่รู้พูดถึงเพลงเจ้าสาวที่กลัวฝน
แต่นาทีนั้น ผมว่าเจ้าบ่าวก็กลัวฝนเหมือนกันล่ะวะ
 
ผมบอกเธอและว่าที่สามี ให้ไปไหว้พระภูมิเจ้าที่ตั้งแต่เย็น แต่ติดว่าพิธียกน้ำชาทำให้ไม่ได้ไปไหว้
แต่แกบอกว่าไหว้พระไปแล้ว
 
ผมนึกในใจแบบกำปั้นทุบดินว่า ทำงานใช้สถานที่ ไหว้เจ้าที่สิวะ
หลังจากได้ธูปมา ผมชวนน้องที่ทำหน้าตาเหมือนหมาสงสัยให้เดินไปด้วย ไปช่วยจุดธูปให้ เพราะฝนแรงมากมายไปคนเดียวไม่ไหว
เหมือนจะรู้ทันความคิดมัน ผมเอ่ยดังๆไปในสายฝนและเสียงฟ้าร้องครวญคร่ำว่า
"ก็ไม่มีไรมากไปกว่า เราก็น่าจะลองทำดู ไม่มีอะไรเสียหายนี่ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย จริงไหม"
น้องรักพยักหน้าด้วยสีหน้าเหมือนเห็นด้วยว่า เออจริง
 
ผมจุดธูปไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ แล้วก็เดินไปปักกลางสายฝนที่ยังตกลงมาอย่างหนาเม็ด
แล้วก็จุดอีกชุดสำหรับไหว้แม่พระธรณี (อันนี้แม่บอกมา นึกอะไรไม่ออก บอกแม่พระธรณี)
เอาล่ะ ก็ดีกว่าไม่ทำอะไร ยืนโทษฟ้าโทษฝนกันไป
 
ปักเสร็จ ยืนมองฝนที่ไม่ได้ซาเม็ดไป แถมมีฟ้าร้องครั้งใหญ่แถมให้ด้วย
มันตกหนักจนเดินกลับไปไม่ได้ ผมชะโงกมองธูปที่ปักไว้ตรงศาลพระภูมิ
สีแดงของธูปสว่างในที่มืด เป็นจุดแดงกลุ่มนึงกลางฟ้าที่มืดและฝนที่โปรย
ในใจก็สงสัยว่า ทำไมธูปไม่ดับ
อ้อยอิ่งในเวลาของบุหรี่หมดมวน
ฝนขาดเม็ดไปในชั่วขณะ ผมก้าวท้าวออกมาพร้อมน้องที่ทำหน้าตาเหรอหรานิดหน่อย เราเดินกลับไปที่งานด้วยการเดินโดยไม่ต้องกางร่ม!!!
 
แขกเริ่มทยอยมา ผมไปเตรียมตัวช่วยในงาน
ก็อำกันแทบจะตกสระน้ำ มุขอะไรเล่นได้ ก็ขนมาขายกัน มีพี่อ๊อด คีรีบูนมาร้องเพลงด้วย เพราะเป็นญาติเจ้าบ่าว
พี่อ๊อดยังเสียงดี และ มีความเป็นกันเอง เหมือนเปิดมินิคอนเสิร์ตย่อยๆ มีหยุดให้แฟนๆช่วยกันร้อง
บอกอายุคนในงานมากๆ
 
แน่นอนว่ามุขฝนตกหนักเพราะเจ้าสาวไปปักตะไคร้ฮาใช้ได้
ยิ่งมุขแก้ที่ว่า คนไปปักตะไคร้ใหม่เป็นผู้ชายที่ชอบผู้ชายอย่างพี่โอ๊ทซะด้วย ฮาสองเท่า
 
งานผ่านไปด้วยดีและไม่มีฝน
ผมง่วงและเพลียจนต้องบอกพี่เจตและพี่ชัยว่า จะกลับล่ะ ไม่ไหว งานเสร็จแล้วคนกลับจะหมดแล้วเหลือแค่ 2 โต๊ะ ก็โต๊ะพวกเรากันเองน่ะล่ะ
เสียงคนโวยวายว่าฝนโปรยเม็ดลงมา และไม่ทันจะได้ร่ำลาดี ก็ตกลงมาห่าใหญ่
 
น้องรักทำหน้ายิ่งกว่าหมาสงสัย ร้อง"เฮ้ย"ออกมา พร้อมด้วยคำอุทานว่า "ขนลุกว่ะ"
 
เสียงพี่อีกคนร้องมาว่า อีป๊อป ทำไมมึงไม่ขอให้ฝนตกเช้าเลยวะ กูยังไม่อยากกลับ
 
เจ้าบ่าวบอกว่า อึ้งทึ่งเสียวมากๆ แกบอกว่าแกยืนมองตั้งแต่ผมหายเข้าไปในมุมมืดของศาลพักใหญ่ๆ
แล้วก็เดินออกมาอีกทีไม่มีฝนแล้ว แกบอกว่ามองอยู่ตลอด แทบไม่เชื่อเหมือนกัน แต่มันเป็นยังงั้นจริงๆ
น้องบอกว่า เหมือนไปรบชนะกลับมา รบกับพระพิรุณเนี่ยนะ บ้าแล้ว
 
หลายคนถามว่าทำยังไง ถามวิธีไหว้กันให้ควั่ก
ผมตอบเอาขำว่า เพราะผมยังซิง ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น
 
หลายคนไม่ยอมและต้องการคำตอบ
 
เหนื่อยและง่วงมากกว่าที่จะมีคำพูดอะไรออกไปในวงล้อมสัมพะเวสีเหล่านั้น
 
ผมตัดสินใจบอกข้อเท็จจริงออกไปว่า
"ผมก็แค่บอกว่า เจ้าที่ครับ ช่วยบอกสายฝนด้วยว่า ขอเวลาให้คนเอากันอย่างเป็นทางการสักครึ่งคืนเถิดครับ
แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้อีสองผัวเมียนั่นมาไหว้อาหารคาวหวานท่านละกัน
ขอบคุณครับ"
 
แล้วฝนก็หยุดตก ฮ่าๆ
 
ไม่รู้ว่าพระพิรุณจะชอบในคำอฐิษฐานหรือว่าเจ้าที่จะชอบอาหารคาวหวาน
แต่หลังจากฝนหยุดตกมาจนถึงเวลางานเลิก
แล้วมาตกใหม่เพื่อให้คนกราบไหว้ผมเล่นนั้น
 
ผมคิดเอาแบบมีเหตุผลอธิบายง่ายๆว่า
 
ทั้งเจ้าที่และสิ่งศักดิ์คิด คงเปิดบัญชีหาข้อมูลของเจ้าบ่าวเจ้าสาวฆ่าเวลาระหว่างดูมุขฮาๆของผมบนเวที
 
แต่หลังจากเสริชกูเกิ้ลและเข้าดาต้าเบสท์ของท่านยมมี่ เพื่อนซี้แล้ว
 
ทั้งเจ้าที่และสิ่งศักดิ์จึงล่วงรู้ว่า
มันสองคนได้กันมานานแล้วววววววววว
 
ผมคิดว่าทั้งเจ้าที่และสิ่งศักดิ์คิดยังงั้นเลยตกแบบไม่ยั้งหลังงานเลิก
 
ไม่รู้ว่าท่านจะโกรธเจ้าบ่าวเจ้าสาวไหมที่ไปหลอกฟ้าฝนยังงั้น
 
เอายังงี้ถ้าบ่าวสาวมันแต่งงานใหม่ ตกให้น้ำท่วมงานบรรลัยไปเลยครับ
 
ด้วยรักและเคารพ
 
จบดีกว่า