ทฤษฎีโลกกลม-พรหมลิขิต Posted by ramintralive in Uncategorized June 21, 2010 Pop Station "โลกนี้กลมเกินกว่าที่เราคิดไว้ ถึงมันจะกว้างกว่าที่เราจะเข้าใจแต่ความบังเอิญแบบไหนกัน ที่ทำให้คนโน้นรู้จักคนนี้ คนนี้รู้จักกัน และคนเหล่านั้นก็ดันมาวนอยู่รอบๆตัวเรา โลกนี้กว้างกว่าที่เราคิดไว้ กลมเกินกว่าที่เราจะเข้าใจจริงๆ" หากมันจะมีอะไรสักอย่างบัญญัติความกลมของโลกใบนี้ไว้ ประโยคข้างต้นดูจะถูกอกและโดนใจอยู่ไม่น้อย หากเหมารวมเอาทฤษฎีที่ว่า ถัดจากเราไปหกคนเราจะเจอคนรู้จักของกันและกัน หากเราไล่วนกันไปเป็นทอด ไม่แน่ว่าเราอาจจะหันมามองตาแล้วก็บอกว่า เธอเองเหรอ มันใช่ไหม หรือ อะไรก็แล้วแต่ ไอ้ทฤษฎี Six Degree of Separation นี่ จะว่าไปก็น่ารักดี แต่บางทีมันก็น่าตกใจเอาง่ายๆ 6 คนถัดไปเรารู้จักใครกันบ้าง เราจะเจอกันตรงไหนบนสะพานของโชคชะตา บนถนนที่มีแยกไฟแดงที่ชื่อว่าพรหมลิขิต บนทางเลี้ยวที่เราอาจจะงงไปบ้าง แต่วาสนาก็จะพาเราไปให้เจอคนนั้น คนนี้ คนบางคนอาจจะเกี่ยวเนื่องกันมาจากหนหลังครั้งเก่าในสิ่งที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้ แต่เราก็มีคำว่า โชคชะตา วาสนา และพรหมลิขิตไว้เรียกขานสิ่งบังเอิญเหล่านั้น คำเรียกขานและสมมุติฐานต่างๆของทฤษฎีโลกกลม-พรหมลิขิตนั้น บางครั้งมันก็บังเอิญได้อย่างแสบสันต์ และก็หฤหรรษ์ได้อย่างอัศจรรย์ใจ ในเย็นย่ำของการกินข้าววันหนึ่ง มียอดข้าวเข้ามาเป็นตัวชูโรงให้การสนทนาและรู้จักเพื่อนใหม่ง่ายขึ้น กระชับวงล้อมเพื่อจะได้กระชับวงรักกันง่ายๆในภายหลัง ว่างั้นเหอะ ใครสักคนเอ่ยว่า เขาเป็นแฟนกับทายาทของร้านผักบุ้งไฟแดงลอยฟ้าที่พิษณุโลก ผมร้องเอิ๊กดังๆถามไปว่า เอ่อ…ที่อยู่ริมแม่น้ำใช่ไหม เขาตอบว่าใช่มีร้านเดียว และทุกร้านในประเทศนี้เป็นญาติกัน เขาถามว่ารู้จักใครเหรอ ผมตอบว่าไม่รู้จักใคร แต่เคยไปสร้างวีรกรรมกันไว้สมัยเรียน กับผองเพื่อนที่น่ารักทั้งหลาย ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า นักเรียนศิลปะที่นั่งกินเหล้ากันถึงเช้า เราสั่งของกินกันทั้งๆที่เด็กเสิร์ฟและพ่อครัวฟุบอยู่โต๊ะถัดไป เราเมินเฉยใส่รถที่นัดมารับเพราะเรายังสนุกกันอยู่ และหากใครสักคนไม่บอกว่าพระอาทิตย์ขึ้น เราก็คงไม่เรียกเด็กมาเก็บเงิน ทุกครั้งที่ใครสักคนกลับไป หรือผ่านไป ก็จะมองหาร้านผักบุ้งลอยฟ้าร้านนั้นกันเสมอๆ เรานึกถึงคืนวันเก่าๆกันอย่างสนุกในอารมณ์ผสมกับความน่าอายในหลายการกระทำในเช้าวันนั้น มีใครบ้างนะในวงรอบนับนิ้วไปอีกหกคน ไม่น่าเชื่อว่า คนดังของประเทศผมสามารถรู้จักและถึงตัวได้ในการนับเพียงสองและสามคนถัดไป แน่นอนว่าอย่าได้ถามกลับว่าเขาอยากรู้จักเราไหม เอาแค่นับนิ้วดูว่ามันจะวนไปถึงไหม แน่นอนว่าหลายคนคงบ่นว่า เราจะมารู้จักกันไปทำไม บางคนอาจจะคิดว่าการรู้จักกันของเราออกไปทางเปลืองใจมากกว่าจะมีอะไรใหม่ๆ ถ้าใครคิดยังงั้นก็โทษกันไม่ได้ เพราะว่า โลกกลมหรือพรหมลิขิตเท่านั้นที่ทำให้เราและใครต่อใคร มารู้จักทักทายกันได้ แต่บางอย่างที่น่าตกใจมากกว่า อาโออิ เล่นหนังไทย มิยาบิ ก็ใกล้ผมเข้ามาแค่นับนิ้วสองคน ไม่น่าเชื่อแต่ก็เป็นไปแล้ว ส่วนจะเป็นไปได้ไหมที่จะเจอกันจริงๆนี่ไม่มีใครรับประกันได้ แต่ไม่เป็นไร เราเจอกันบ่อยๆอยู่แล้ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จริงๆแล้วไอ้ทฤษฎีโลกกลมนี่ มันก็มีดีตรงที่เวลารักใครเราก็อ้างๆง่ายๆว่า เพราะพรหมลิขิตนะ ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น เพราะถ้ามากกว่านั้น ต้องลองรักกันนานๆ แล้วจะเข้าใจคำว่าโทษฐานที่รู้จักกัน จริงๆนะ ก็อย่างที่บอกล่ะ โลกนี้กลมเกินกว่าที่เราคิดไว้ ถึงมันจะกว้างกว่าที่เราจะเข้าใจ… Share this:FacebookLike Loading... Related
… นั่นน่ะสิ… ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง… จริงๆ… : )
หมายถึงว่า เราเดินมาทางเดียวกันป่ะ หมายความยังงั้นใช่ไหม 5555
พรหมลิขิตเลยเป็นข้ออ้างของยุทธการ ขมิบวงล้อม กระชับความสัมพันธ์
อะไร อะไร ก้อพรหมลิขิต
โลกนี้กลมเกินกว่าที่เราคิดไว้จิงๆน้ะบ่อยไปที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น…
ท่าทางจะกลมเกินนะคะ